ท่านมหากวี ระพินทรนาถ ฐากูร เกิดที่เมืองกัลกัตตา ยามใกล้ย่ำรุ่งของวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๔ เป็นบุตรฅนที่ ๑๔ และเป็นฅนสุดท้องของท่าน เทเวนทรนาถ ฐากูร บิดาของระพินทรนาถเป็นที่รู้จักของฅนทั่วไปซึ่งเรียกท่านว่า ‘มหาฤษี’ เพราะท่านเป็นผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง มักเที่ยวธุดงค์ไปตามป่าเชิงเขาหิมาลัย และเที่ยวพบปะสนทนาธรรมกับนักบวช ทั้งทางภาคเหนือและภาคใต้ของอินเดีย ระพินทรนาถ เติบโตขึ้นในบ้านที่มีบรรยากาศของวัฒนธรรมอินเดียโบราณ โดยที่ท่านบิดาเป็นนักปฏิรูปศาสนา และสังคมที่เอาจริงเอาจังมาก
ระพินทรนาถ ได้รับการศึกษาส่วนใหญ่ในบ้านของท่านเอง เริ่มเขียนบทกวีตั้งแต่อายุยังน้อย ได้พิมพ์บทเพลงหลายเล่มระหว่างอายุ ๒๐-๓๐ ปี เมื่ออายุ ๒๙ ได้พิมพ์บทกวีรวมเล่มชื่อ Manasi เป็นผลงานสำคัญแสดงถึงความเติบโตเต็มที่ในอัจฉริยภาพของท่าน
เมื่ออายุได้ ๓๐ ปี ระพินทรนาถ ได้รับมอบหมายให้ดูแลจัดการที่ดินของบิดาในชนบท ณ ที่นั้น ท่านได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับชาวบ้านที่ยากจนและมีความเป็นอยู่ล้าหลัง ความเห็นอกเห็นใจผู้ยากไร้ทำให้ท่านเกิดความสนใจปัญหาการเมืองและสังคม ซึ่งปรากฏในผลงานของท่านในระยะหลังด้วย ระพินทรนาถคงประทับใจในแม่น้ำคงคาซึ่งไหลผ่านชนบทนั้นมาก จึงได้พรรณาถึงในบทกวีบ่อยครั้ง
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ท่านระพินทรนาถได้พิมพ์ผลงานรวมบทกวีชื่อ ‘คีตัญชลี’ ซึ่งต่อมา บทแปลเป็นภาษาอังกฤษของงานนี้ทำให้ท่านได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ท่านได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเซอร์ระพินทรนาถ ฐากูร จากสหราชอาณาจักร แต่ท่านได้สละบรรดาศักดิ์นี้คืนเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๘ เพื่อประท้วงการสังหารหมู่ประชาชนอินเดียที่เมืองอัมริตสาร์ โดยทหารอังกฤษ
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๙ ท่านมหาฤษี เทเวนทรนาถ ฐากูร ได้จัดที่ดินใน ชนบทแห่งหนึ่งเป็นอาศรมปฏิบัติธรรมให้ชื่อว่า ‘ศานตินิเขต’ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ ท่านระพินทรนาถ ฐากูร ได้เปิดโรงเรียนขึ้น ณ สถานที่นี้เพื่อให้การศึกษาที่ประสานอารยธรรม และวัฒนธรรมอินเดียโบราณกับตะวันตกเข้าด้วยกัน ต่อมาภายหลังในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ท่านได้ประกอบพิธีเปิดเป็นมหาวิทยาลัย วิศวภารติ ซึ่งนับเป็นศูนย์วัฒนธรรมของทั่วประเทศอินเดียและของโลก
ในบั้นปลายชีวิตท่านระพินทรนาถ ฐากูร ได้เดินทางไปปาฐกถาในยุโรป อเมริกา จีน ญี่ปุ่น ไทย มลายู อินโดนีเซีย ท่านถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
สำหรับหนังสือ ‘หิ่งห้อย’ ท่านได้ให้คำนำไว้ว่า
‘หิ่งห้อย ถือกำเนิดในจีนและญี่ปุ่น
ซึ่งมีผู้มาขอให้ข้าพเจ้าจารึกข้อคิดให้เสมอ
บนแผ่นพัดและผืนไหม’
ถ้อยคำในหนังสือเล่มนี้แม้เขียนในปัจฉิมวัย แต่ควรนับได้ว่าเป็นผลสืบเนื่องในชีวิตของท่าน จากเหตุการณ์สำคัญอันเกิดขึ้นในวัยหนุ่ม ท่านกวีเขียนเล่าไว้ดังนี้
เมื่อข้าพเจ้าอายุได้สิบแปด สายลม ดอกไม้ผลิฉับพลันของประสบการณ์ธรรมประจักษ์…..ได้พัดสู่ชีวิตของข้าพเจ้า และผ่านไปโดยประทับรอยข่าวสารชัดแจ้งถึงความจริงแท้ด้านจิตวิญญาณไว้ในความทรงจำ เมื่อรุ่งอรุณครั้งหนึ่ง ขณะยืนดูดวงอาทิตย์เคลื่อนขึ้นเหนือพุ่มไม้ ในทันทีข้าพเจ้ารู้สึกคล้ายกับว่า หมอกทึบแห่งอดีตกาลได้ถูกยกออกพ้นสายตาขณะหนึ่ง และแสงอรุณที่อาบผิวโลกอยู่ก็เผยให้เห็นความปิติรุ่งโรจน์ภายใน ม่านคลุมแห่งความจำเจที่มองไม่เห็นได้ถูกยกออกจากสรรพสิ่งและจากผู้ฅนทั้งหลาย และแสดงความหมายสำคัญสูงสุด กระจ่างชัดแก่ดวงจิตของข้าพเจ้า—สิ่งซึ่งควรจดจำในประสบการณ์นี้คือ การขยายขอบเขตแห่งจิตใจของข้าพเจ้าอย่างฉับพลัน เข้าสู่โลกระดับใหม่ในมนุษย์ บทกวีซึ่งข้าพเจ้าเขียนไว้ในวันแรกแห่งความตื่นใจชื่อ ‘น้ำตกตื่นจากหลับแล้ว’ แสงอาทิตย์ได้แผดเผาละลายหิมะน้ำแข็งซึ่งห่อหุ้ม กักขังดวงวิญญาณของธารน้ำตกไว้ในความเปล่าเปลี่ยว ณ บัดนี้มันประกาศอิสรภาพของมัน โดยการไหลตกสาดซ่า เพื่อบรรลุปลายทางของมัน โดยสละตัวตนอย่างไม่รู้สิ้น รวมเป็นหนึ่งเดียวกับห้วงสมุทร:
แก่งหินและภูผาเลื่อนลั่น
สายน้ำเอ่อท้นท่วมตกกระจาย
แตกฟองซัดสาดไหลเชี่ยว
ในความปลื้มเปรมปราโมทย์
ก่อสรรพสำเนียงครืนคลั่ง
พลุ่งพล่านเพราะต้องแสงอรุณ
น้ำจะกำซาบซึมซับโลกเต็มแรง
และข้าฯ-ข้าจะรินความรักเป็นลำน้ำ
ข้าจะทำลายกรงขังแห่งหินผา
ข้าจะท่วมท้นโลก
และจะเห่กล่อมด้วยเพลงไพเราะ
อย่างเอิบอิ่มบ้าคลั่ง
ข้าจะวิ่งส่งเสียงหัวเราะเริงร่า
เก็บดอกไม้ สยายผม
โลดแล่นกางปีกสายรุ้ง
โผบินผ่านโมงยาม
อาบแสงสุริยา
ข้าจะโจนจากยอดสู่ยอด
และสาดรดหลั่งอุทกจากเนินสู่เนิน
ข้าจะหัวเราะกึกก้องและตบมือเข้าจังหวะ
กับฝีเท้าที่เหยียบย่ำไป
ท่านมหากวีกล่าวว่า บทเพลงที่ท่านเขียนขึ้นหลังจากเหตุการณ์ธรรมประจักษ์เช่นที่ยกมาดังกล่าว ‘เป็นการเปิดเผยธาตุแท้ภายในออกมาเป็นครั้งแรก เป็นการฉลองการเปิดทวารอันหนึ่ง และเป็นการบรรลุอนันตภาวะภายในอันตภาวะ’
ข้อความสั้นกะทัดรัดหรือหิ่งห้อยแต่ละตัวในหนังสือนี้ เป็นเสมือนแสงสว่างอันเรืองรองของสัจธรรม อันแฝงอยู่เบื้องหลังความมัวซัวของเหตุการณ์ประจำวัน ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ ท่านมหากวีผู้เห็นธรรมได้เชิญชวนให้เราย่างก้าวตามท่านเข้าสู่โลก ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏความหมายใหม่อันยังความเอิบอิ่มแก่ดวงจิต หิ่งห้อยแต่ละตัวเป็นคำอุทานด้วยความปีติปราโมทย์ในความงดงามล้ำลึกของชีวิตและโลก แสงสัญญาณของหิ่งห้อยบางตัวเราอาจรับรู้ได้โดยฉับพลัน ส่วนของบางตัวนั้นอาจจะเป็นปริศนาธรรมที่รอให้อินทรีย์แก่กล้าขึ้นก่อนจึงปรากฏแจ้งชัด
โดยสรุปแล้ว แสงสว่างวาบของหิ่งห้อยในอนธการเป็นการประกาศศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมในสัจธรรม ความงามและคุณธรรม
ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา
ระวี ภาวิไล
ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๑