ผีเสื้อ
โบกโบยบินไปในสวนหนังสือ
อุดมคติที่แลกมากับความเจ็บร้าว

‘หนังสือนี้พิมพ์ด้วยกระดาษปอนด์ที่ฟอกสีแต่น้อย มีคุณสมบัติดูดซับแสงดี ปริมาณการสะท้อนแสงน้อย เพื่อมิให้เกิดผลร้ายต่อสายตาของผู้อ่าน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรอ่านหนังสือกลางแดดจ้า และไม่ควรอ่านหนังสือภายใต้แสงแดดจัด และไม่ควรอ่านหนังสือในสถานที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ ยกเว้นการอ่านหนังสือในสถานที่ขณะลมพัดแรง เพื่อป้องกันดวงตาและถนอมสายตา’

          ‘หนังสือนี้เข้าเล่มด้วยระบบเย็บกี่(ร้อยเส้นด้าย) และไสกาว เพื่อให้รูปเล่มแข็งแรงและมั่นคงโดยไม่หลุดเป็นแผ่น ๆ ตลอดระยะเวลายาวนานไม่ต่ำกว่า ๕๐ ปี หากผู้อ่านซื้อหนังสือเล่มใดจากสำนักพิมพ์ผีเสื้อและปรากฏว่าหน้ากระดาษหลุดจากเล่มเป็นแผ่น ๆ เนื่องจากความบกพร่องของระบบการพิมพ์และเข้าเล่ม โปรดนำไปเปลี่ยนจากร้านหนังสือ หรือส่งไปยังสำนักพิมพ์ผีเสื้อ นอกจากจะได้รับเล่มใหม่โดยไม่ต้องเสียค่าส่งแล้ว สำนักพิมพ์ยินดีมอบหนังสือเรื่องอื่น ๆ ให้อีกสิบเล่มเพื่อเป็นการขออภัยและขอบคุณ’

          ‘สำนักพิมพ์ผีเสื้อ จัดทำหนังสือชุดปกแข็งสำหรับนักอ่านผู้ปรารถนาจะสะสมหนังสือที่มีรูปเล่มแข็งแรงมั่นคง รูปแบบสวยงามเป็นพิเศษ ทัดเทียมหรืออาจจะดีกว่าหนังสือจากต่างประเทศ แต่จำหน่ายในราคาไม่แพง สอบถามความคืบหน้าโครงการนี้จากร้านหนังสือ’

          จากคำโปรยในสอง-สามหน้าสุดท้ายของหนังสือทุกเล่มที่จัดพิมพ์ขึ้นโดยสำนักพิมพ์ ‘ผีเสื้อ’ เมื่ออ่านแล้วทำให้มีความรู้สึกผูกพันกับฅนที่จัดทำหนังสือเล่มนั้นว่า เขามีความห่วงใยในผู้อ่าน ช่วยแนะนำส่วนเสียที่เป็นปัญหา ก่อให้เกิดผลร้ายต่อร่างกายและสุขภาพของฅนอ่าน รูปเล่มหนังสือก็มีเครื่องหมายการันตีบ่งบอกความรับผิดชอบของสำนักพิมพ์ที่มีต่อลูกค้าฅนอ่านของตนอย่างทุ่มเทและเหนียวแน่น

          ความอยากรู้เหตุผลที่แท้จริงว่า ทำไมสำนักพิมพ์ผีเสื้อจึงห่วงใยและทุ่มเทกับฅนอ่านของตนมากมายขนาดนั้น เพราะในปัจจุบัน ระบบธุรกิจต่างมุ่งเล็งถึงผลกำไรสูงสุดที่จะได้รับเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงผู้บริโภคสักเท่าไหร่ แต่เหตุผลใดสำนักพิมพ์ผีเสื้อจึงสวนกระแส ทวนความคิดหลักของผู้ประกอบการสื่อสิ่งพิมพ์ที่ค่าโสหุ้ยสูงลิบลิ่วในขณะนี้โดยเฉพาะค่ากระดาษที่แพงกว่าทองคำ ‘มติชน’ จึงบุกรังหมายเลขห้าเข้าไปจับเข่าพูดคุยกับบรรณาธิการและผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ผีเสื้อ และในอีกด้านหนึ่ง เขาเป็นนักเขียนที่ฅนอ่านรู้จักแต่ผลงานและนามปากกา

          ” เริ่มจาก ‘สำนักพิมพ์ดอกไม้’ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ได้พิมพ์หนังสือปกแข็งออกมาจำหน่าย เล่มแรกเป็นเรื่อง ‘ผีเสื้อและดอกไม้’ ตอนนั้นเพิ่งเขียนเสร็จใหม่หมาด ๆ จากสตรีสาร ไม่รู้จะให้ใครพิมพ์ ก็เลยลองพิมพ์เองดู ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรหรอก พิมพ์ออกไปถึงหนึ่งหมื่นเล่ม เหลือเยอะแยะเลย อย่างไรก็ตาม โชคดีที่กระทรวงศึกษาธิการเขาเลือกให้เป็นหนังสือนอกเวลาประกอบการเรียน ทางกรุงเทพมหานครสั่งให้ทำปกแข็งหลายร้อยเล่มเพื่อมอบให้ห้องสมุดต่าง ๆ ก็เลยพอขายได้ ตัวเองเป็นฅนที่อยากอ่านหนังสือดี ๆ สวย ๆ แต่ราคาถูก ในสมัยนั้น เขาพิมพ์หนังสือด้วยกระดาษปรู๊ฟราคาประมาณสิบบาทกว่า ๆ ก็เลยพิมพ์ด้วยกระดาษปอนด์ขาย ด้วยราคายี่สิบบาท แต่สามารถเก็บไว้ได้นานกว่าต่อมาก็มีอาจารย์ผกาวดี อุตตโมทย์ และคุณผุสดี นาวาวิจิต มาร่วมทำนิตยสารด้วยกันในชื่อ ‘กะรัต’ ทำได้ประมาณเก้าปี ก็เลิกไป ที่เลิกเพราะมีความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า นิตยสารรายเดือนที่พิมพ์วันนี้ เดือนหน้าก็หมดอายุเสียแล้ว มันหายไปจากแผง จากความทรงจำของฅนอ่านน่าจะหันมาทำพ็อคเก็ตบุ๊คอย่างเป็นล่ำเป็นสันดีกว่า สำนักพิมพ์ก็มีต้นฉบับของเราเอง ที่แปลเอาไว้ในนิตยสารบ้าง เขียนเองบ้าง จึงเริ่มทำเล่มแรกในนามสำนักพิมพ์กะรัตคือ ‘โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง’อันที่จริงตอนทำนิตยสารมาถึงปีที่เก้าย่างเข้าปีที่สิบก็เริ่มมีกำไรบ้างแล้ว—ทำไมจึงเลิก—ก็เพราะเรามีฅนทำหลักแค่สามฅน กำลังฅนไม่พอที่จะทำหลายอย่าง เริ่มทำพ็อคเก็ตบุ๊คอยู่สี่-ห้าปี มีอยู่จังหวะหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนสายส่ง ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นสำนักพิมพ์ ‘ผีเสื้อ’ ซึ่งก็กว่าสิบปีเข้าไปแล้ว ช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาได้มีผู้ร่วมงานจากภายนอกเพิ่มเข้ามามากคือ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ นักแปลจากภายนอกที่ส่งเรื่องเข้ามาให้พิจารณาตีพิมพ์ ”

          ส่วนนโยบายการจัดรูปเล่ม การพิมพ์หนังสือในนามสำนักพิมพ์ผีเสื้อ เขาไขข้อข้องใจให้ฟังอย่างหมดเปลือกว่าทำไมจึงมีความคิดอย่างนี้ ด้วยเหตุผลกลใด

          ” สำนักพิมพ์ผีเสื้อใส่ใจฅนอ่านมาก เพราะมีฅนอ่านมากพอควรที่เป็นแฟนประจำ ติดตามซื้อโดยไม่ต้องเปิดดูว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไรเพียงแต่เห็นว่าเป็นหนังสือของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ บางฅนก็ส่งเงินมาทิ้งไว้นับพันบาท เพื่อจะให้เราส่งหนังสือไปให้ เป็นความผูกพันส่วนตัวระหว่างฅนอ่านกับสำนักพิมพ์ ถ้าเรามีฅนอย่างนี้มากพอ ก็สามารถอยู่ได้ แต่ทุกวันนี้ยังแย่อยู่ ”

          ” ตัวผมเองเก็บหนังสือเก่า ๆ ที่มีอายุนับร้อยปี อัศจรรย์ใจว่า ทำไมหนังสือเหล่านี้จึงสามารถเก็บแล้วสืบทอดส่งต่อ ๆ กันมา เหตุใดฅนทำหนังสือสมัยก่อนทำได้ ทำไมเราทำไม่ได้ ถ้อยคำที่ผมเขียนในหนังสืออย่างกรณีกระดาษที่เราใช้ตีพิมพ์ ก็ศึกษากันเยอะพอสมควร ให้สังเกตดูว่า เวลาอ่านหนังสือบริเวณที่แสงไฟเท่ากัน กระดาษแต่ละสีจะส่งผลแก่ดวงตาและความรู้สึกของดวงตาไม่เท่ากัน ก็เลยศึกษาว่า ควรเลือกใช้กระดาษชนิดไหนจึงจะมีผลต่อสายตาที่สุด เมื่อค้นคว้าจากเอกสารต่าง ๆก็พบว่า องค์กรหนึ่งในสหประชาชาติเคยทำวิจัยไว้ว่า ผลของกระดาษสะท้อนแสงทำให้ฅนมีสายตาผิดปรกติ หรือเป็นต้อกระจกสายตาล้า ทุกครั้งที่แสงสะท้อนเข้าในดวงตาของเรามีความสำคัญมากในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า กระดาษที่มีสีออกน้ำตาลเหลืองจะสะท้อนแสงน้อยที่สุด กระดาษที่มีพื้นผิวขรุขระจะสะท้อนแสงน้อยที่สุด กระดาษที่มีผิวมันและขาวสว่างจะทำให้ตาเสียได้ง่าย เพราะฉะนั้น เราจึงตัดสินใจเลือกกระดาษสีค่อนข้างเหลือง สังเกตดูจากฅนอ่านที่เขียนจดหมายเข้ามาจากพรรคพวก ผู้อ่าน เขาก็บอกว่ารู้สึกอย่างไร ตอบรับกันมาด้วยดีขณะนี้กำลังคิดว่า มีวิธีไหนจะทำให้กระดาษขาวจั๊วะกลับเหลืองหมองลง ศึกษากันอยู่ คืบหน้าประมาณเจ็ดสิบแปดเปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ยังไม่ได้สรุป—ส่วนในการตั้งราคาหนังสือ ทั่วไปเขาจะมีสูตรคือ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วคูณด้วยสี่ออกมาเป็นราคาหนังสือ และต้องไม่ลืมว่า ราคาหนังสือนั้นยังต้องหักค่าสายส่ง ค่าส่วนลดอีกด้วยแต่เราไม่คำนวณราคาอย่างนั้น เพราะทุกครั้งที่เราคูณสี่แล้วรู้สึกว่ามันแพง ขนาดเอาค่าแรงออกหมด ใช้สามัญสำนึกของตัวเองตัดสินว่าสำหรับหนังสือขนาดนี้ ถ้าตัวเราจะซื้อ ราคาประมาณเท่าไหร่พอจะซื้อได้โดยไม่รู้สึกแพง สำหรับสำนักพิมพ์ขอเพียงให้อยู่รอด มีชีวิตอยู่ได้ ”

          ” สำนักพิมพ์ผีเสื้อโชคดีที่ไม่ต้องนึกถึงผลกำไร จึงมีเวลาคิดเรื่องผลประโยชน์เพื่อฅนอ่านมาก—แต่ความจริงแล้ว ที่ผ่านมาเราขาดทุน มีตัวเลขติดลบมาตลอด ในปีที่แล้ว (๒๕๓๘) เจอภาวะวิกฤตหนักขั้นโคม่า ทำท่าจะไปไม่รอด ต้องยุบสำนักพิมพ์แน่ เพราะมีหนี้สินทับถมมากมาย ผมต้องขอบคุณ ไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม จะเป็นพระเจ้าหรือสิ่งศัก ดิ์สิทธิ์อื่นใด เพราะหนังสือที่เราทำออกมานั้นสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า ปาฏิหาริย์จริงและเกิดขึ้นกับตัวผมเอง—มีเพื่อนของเพื่อนฅนหนึ่งเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการเงิน โดยไม่มีข้อแม้หรือผูกมัด ตอนนั้นไม่สามารถเดินไปหาใคร แม้จะมีสินทรัพย์หรือหลักประกันที่จะยืมเงินจำนวนมาก อย่าว่าแต่ยืมโดยไม่มีดอกเบี้ยเลย ดอกเบี้ยต่ำหรือสูงก็ไม่มีใครให้ ในวงการธุรกิจนั้น ถ้าบอกว่าขอกู้เงินมาทำพ็อคเก็ตบุ๊ค ไม่มีใครให้กู้หรอก แต่ที่เพื่อนเขาให้มาก็เป็นเงินจำนวนมากอยู่ เขาให้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย เซ็นเช็คให้ไปปลดหนี้ธนาคาร มาเป็นหนี้เขาแทน—ไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีกำหนดจ่ายคืน มีเงินเมื่อไหร่ก็ส่งคืนได้เรื่อย ๆ—เขาเป็นฅนนอกวงการ ไม่ต้องการเปิดเผยนาม เขาไม่เคยสนใจธุรกิจหนังสือ ไม่เคยคลุกคลีกับวงการหนังสือเลย เมื่อเขาเห็นความตั้งใจของเราก็เสนอตัวมาช่วย เราโชคดีที่ได้ฅนช่วยเหลือ ทั้งยังมีนักอ่านสนับสนุนมากพอควร ทำให้มีเรี่ยวแรงมีกำลังใจมากขึ้น—เพราะฉะนั้นในชีวิตของผมนี้ ไม่ปรารถนาอย่างอื่นอีกแล้ว นอกจากทำหนังสือให้ออกมาดีที่สุด ด้วยความหวังว่า เมื่อพวกเราทุกฅนที่ทำหนังสือตายไปหนังสือก็ยังอยู่คู่ลูกหลานเหลนโหลน ยังสามารถอ่านกันได้ต่อไปอีกนับชั่วอายุฅน ”

          ความคาดหวังถึงอนาคตของเขาก็เช่นเดียวกับผู้ฅนที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงหนังสือที่จะพูดเป็นเสียงเดียวกันคือ

          ” ฅนอ่านอย่าเพิ่งเบื่อหนังสือ ขอให้พยายามเลือกหนังสืออ่านอยากให้อ่านหนังสือกันมาก ๆ เพราะทุกระบบของสังคมบนโลกนี้ มันพัฒนาขึ้นได้เพราะฅนในชาติอ่านหนังสือ หนังสือช่วยกล่อมเกลาจิตใจช่วยทำให้ฅนคิด ช่วยพัฒนาชีวิตได้มาก—คำถามที่ว่าทำไมเด็กสมัยนี้ไม่รักการอ่าน—เพราะหนังสือที่เขาอ่านมันไม่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกลุ่มหลงและรักการอ่าน ผมเชื่อว่า ลองให้เด็กมีโอกาสหยิบหนังสือของสำนักพิมพ์ผีเสื้อขึ้นมาอ่านดู แปดสิบเปอร์เซ็นต์จะต้องอยากอ่านอีก ”

          ตั้งแต่เป็นสำนักพิมพ์ดอกไม้ บานสะพรั่งในสวนหนังสือ แฝงร่างกลายตัวเป็นสำนักพิมพ์กะรัตที่ส่องแสงเจิดจ้า และจากดักแด้แปรเป็นสำนักพิมพ์ผีเสื้อ โดนพายุกระหน่ำจนปีกขาดวิ่นเกือบอับปาง บินไม่ได้ เกือบล้มละลายสิ้นสูญ แต่โชคดีที่มีฅนมาช่วยชีวิต วันนี้ ผีเสื้อตัวเดิมพร้อมโบยบินสู่สวนหนังสืออันกว้างใหญ่ โดยมุ่งทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ฅนอ่านมากที่สุด ทั้งด้านเนื้อหาและรูปเล่ม ขอให้โบยบินทำประโยชน์ผสมเกสรดอกไม้ของปัญญาให้อยู่คู่แผ่นดิน สืบไป



ผีเสื้อ
โบกโบยบินไปในสวนหนังสือ
อุดมคติที่แลกมากับความเจ็บร้าว

‘หนังสือนี้พิมพ์ด้วยกระดาษปอนด์ที่ฟอกสีแต่น้อย มีคุณสมบัติดูดซับแสงดี ปริมาณการสะท้อนแสงน้อย เพื่อมิให้เกิดผลร้ายต่อสายตาของผู้อ่าน อย่างไรก็ตาม ไม่ควรอ่านหนังสือกลางแดดจ้า และไม่ควรอ่านหนังสือภายใต้แสงแดดจัด และไม่ควรอ่านหนังสือในสถานที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ ยกเว้นการอ่านหนังสือในสถานที่ขณะลมพัดแรง เพื่อป้องกันดวงตาและถนอมสายตา’

          ‘หนังสือนี้เข้าเล่มด้วยระบบเย็บกี่(ร้อยเส้นด้าย) และไสกาว เพื่อให้รูปเล่มแข็งแรงและมั่นคงโดยไม่หลุดเป็นแผ่น ๆ ตลอดระยะเวลายาวนานไม่ต่ำกว่า ๕๐ ปี หากผู้อ่านซื้อหนังสือเล่มใดจากสำนักพิมพ์ผีเสื้อและปรากฏว่าหน้ากระดาษหลุดจากเล่มเป็นแผ่น ๆ เนื่องจากความบกพร่องของระบบการพิมพ์และเข้าเล่ม โปรดนำไปเปลี่ยนจากร้านหนังสือ หรือส่งไปยังสำนักพิมพ์ผีเสื้อ นอกจากจะได้รับเล่มใหม่โดยไม่ต้องเสียค่าส่งแล้ว สำนักพิมพ์ยินดีมอบหนังสือเรื่องอื่น ๆ ให้อีกสิบเล่มเพื่อเป็นการขออภัยและขอบคุณ’

          ‘สำนักพิมพ์ผีเสื้อ จัดทำหนังสือชุดปกแข็งสำหรับนักอ่านผู้ปรารถนาจะสะสมหนังสือที่มีรูปเล่มแข็งแรงมั่นคง รูปแบบสวยงามเป็นพิเศษ ทัดเทียมหรืออาจจะดีกว่าหนังสือจากต่างประเทศ แต่จำหน่ายในราคาไม่แพง สอบถามความคืบหน้าโครงการนี้จากร้านหนังสือ’

          จากคำโปรยในสอง-สามหน้าสุดท้ายของหนังสือทุกเล่มที่จัดพิมพ์ขึ้นโดยสำนักพิมพ์ ‘ผีเสื้อ’ เมื่ออ่านแล้วทำให้มีความรู้สึกผูกพันกับฅนที่จัดทำหนังสือเล่มนั้นว่า เขามีความห่วงใยในผู้อ่าน ช่วยแนะนำส่วนเสียที่เป็นปัญหา ก่อให้เกิดผลร้ายต่อร่างกายและสุขภาพของฅนอ่าน รูปเล่มหนังสือก็มีเครื่องหมายการันตีบ่งบอกความรับผิดชอบของสำนักพิมพ์ที่มีต่อลูกค้าฅนอ่านของตนอย่างทุ่มเทและเหนียวแน่น

          ความอยากรู้เหตุผลที่แท้จริงว่า ทำไมสำนักพิมพ์ผีเสื้อจึงห่วงใยและทุ่มเทกับฅนอ่านของตนมากมายขนาดนั้น เพราะในปัจจุบัน ระบบธุรกิจต่างมุ่งเล็งถึงผลกำไรสูงสุดที่จะได้รับเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงผู้บริโภคสักเท่าไหร่ แต่เหตุผลใดสำนักพิมพ์ผีเสื้อจึงสวนกระแส ทวนความคิดหลักของผู้ประกอบการสื่อสิ่งพิมพ์ที่ค่าโสหุ้ยสูงลิบลิ่วในขณะนี้โดยเฉพาะค่ากระดาษที่แพงกว่าทองคำ ‘มติชน’ จึงบุกรังหมายเลขห้าเข้าไปจับเข่าพูดคุยกับบรรณาธิการและผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ผีเสื้อ และในอีกด้านหนึ่ง เขาเป็นนักเขียนที่ฅนอ่านรู้จักแต่ผลงานและนามปากกา

          ” เริ่มจาก ‘สำนักพิมพ์ดอกไม้’ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ได้พิมพ์หนังสือปกแข็งออกมาจำหน่าย เล่มแรกเป็นเรื่อง ‘ผีเสื้อและดอกไม้’ ตอนนั้นเพิ่งเขียนเสร็จใหม่หมาด ๆ จากสตรีสาร ไม่รู้จะให้ใครพิมพ์ ก็เลยลองพิมพ์เองดู ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรหรอก พิมพ์ออกไปถึงหนึ่งหมื่นเล่ม เหลือเยอะแยะเลย อย่างไรก็ตาม โชคดีที่กระทรวงศึกษาธิการเขาเลือกให้เป็นหนังสือนอกเวลาประกอบการเรียน ทางกรุงเทพมหานครสั่งให้ทำปกแข็งหลายร้อยเล่มเพื่อมอบให้ห้องสมุดต่าง ๆ ก็เลยพอขายได้ ตัวเองเป็นฅนที่อยากอ่านหนังสือดี ๆ สวย ๆ แต่ราคาถูก ในสมัยนั้น เขาพิมพ์หนังสือด้วยกระดาษปรู๊ฟราคาประมาณสิบบาทกว่า ๆ ก็เลยพิมพ์ด้วยกระดาษปอนด์ขาย ด้วยราคายี่สิบบาท แต่สามารถเก็บไว้ได้นานกว่าต่อมาก็มีอาจารย์ผกาวดี อุตตโมทย์ และคุณผุสดี นาวาวิจิต มาร่วมทำนิตยสารด้วยกันในชื่อ ‘กะรัต’ ทำได้ประมาณเก้าปี ก็เลิกไป ที่เลิกเพราะมีความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า นิตยสารรายเดือนที่พิมพ์วันนี้ เดือนหน้าก็หมดอายุเสียแล้ว มันหายไปจากแผง จากความทรงจำของฅนอ่านน่าจะหันมาทำพ็อคเก็ตบุ๊คอย่างเป็นล่ำเป็นสันดีกว่า สำนักพิมพ์ก็มีต้นฉบับของเราเอง ที่แปลเอาไว้ในนิตยสารบ้าง เขียนเองบ้าง จึงเริ่มทำเล่มแรกในนามสำนักพิมพ์กะรัตคือ ‘โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง’อันที่จริงตอนทำนิตยสารมาถึงปีที่เก้าย่างเข้าปีที่สิบก็เริ่มมีกำไรบ้างแล้ว—ทำไมจึงเลิก—ก็เพราะเรามีฅนทำหลักแค่สามฅน กำลังฅนไม่พอที่จะทำหลายอย่าง เริ่มทำพ็อคเก็ตบุ๊คอยู่สี่-ห้าปี มีอยู่จังหวะหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนสายส่ง ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นสำนักพิมพ์ ‘ผีเสื้อ’ ซึ่งก็กว่าสิบปีเข้าไปแล้ว ช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาได้มีผู้ร่วมงานจากภายนอกเพิ่มเข้ามามากคือ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ นักแปลจากภายนอกที่ส่งเรื่องเข้ามาให้พิจารณาตีพิมพ์ ”

          ส่วนนโยบายการจัดรูปเล่ม การพิมพ์หนังสือในนามสำนักพิมพ์ผีเสื้อ เขาไขข้อข้องใจให้ฟังอย่างหมดเปลือกว่าทำไมจึงมีความคิดอย่างนี้ ด้วยเหตุผลกลใด

          ” สำนักพิมพ์ผีเสื้อใส่ใจฅนอ่านมาก เพราะมีฅนอ่านมากพอควรที่เป็นแฟนประจำ ติดตามซื้อโดยไม่ต้องเปิดดูว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไรเพียงแต่เห็นว่าเป็นหนังสือของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ บางฅนก็ส่งเงินมาทิ้งไว้นับพันบาท เพื่อจะให้เราส่งหนังสือไปให้ เป็นความผูกพันส่วนตัวระหว่างฅนอ่านกับสำนักพิมพ์ ถ้าเรามีฅนอย่างนี้มากพอ ก็สามารถอยู่ได้ แต่ทุกวันนี้ยังแย่อยู่ ”

          ” ตัวผมเองเก็บหนังสือเก่า ๆ ที่มีอายุนับร้อยปี อัศจรรย์ใจว่า ทำไมหนังสือเหล่านี้จึงสามารถเก็บแล้วสืบทอดส่งต่อ ๆ กันมา เหตุใดฅนทำหนังสือสมัยก่อนทำได้ ทำไมเราทำไม่ได้ ถ้อยคำที่ผมเขียนในหนังสืออย่างกรณีกระดาษที่เราใช้ตีพิมพ์ ก็ศึกษากันเยอะพอสมควร ให้สังเกตดูว่า เวลาอ่านหนังสือบริเวณที่แสงไฟเท่ากัน กระดาษแต่ละสีจะส่งผลแก่ดวงตาและความรู้สึกของดวงตาไม่เท่ากัน ก็เลยศึกษาว่า ควรเลือกใช้กระดาษชนิดไหนจึงจะมีผลต่อสายตาที่สุด เมื่อค้นคว้าจากเอกสารต่าง ๆก็พบว่า องค์กรหนึ่งในสหประชาชาติเคยทำวิจัยไว้ว่า ผลของกระดาษสะท้อนแสงทำให้ฅนมีสายตาผิดปรกติ หรือเป็นต้อกระจกสายตาล้า ทุกครั้งที่แสงสะท้อนเข้าในดวงตาของเรามีความสำคัญมากในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า กระดาษที่มีสีออกน้ำตาลเหลืองจะสะท้อนแสงน้อยที่สุด กระดาษที่มีพื้นผิวขรุขระจะสะท้อนแสงน้อยที่สุด กระดาษที่มีผิวมันและขาวสว่างจะทำให้ตาเสียได้ง่าย เพราะฉะนั้น เราจึงตัดสินใจเลือกกระดาษสีค่อนข้างเหลือง สังเกตดูจากฅนอ่านที่เขียนจดหมายเข้ามาจากพรรคพวก ผู้อ่าน เขาก็บอกว่ารู้สึกอย่างไร ตอบรับกันมาด้วยดีขณะนี้กำลังคิดว่า มีวิธีไหนจะทำให้กระดาษขาวจั๊วะกลับเหลืองหมองลง ศึกษากันอยู่ คืบหน้าประมาณเจ็ดสิบแปดเปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ยังไม่ได้สรุป—ส่วนในการตั้งราคาหนังสือ ทั่วไปเขาจะมีสูตรคือ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วคูณด้วยสี่ออกมาเป็นราคาหนังสือ และต้องไม่ลืมว่า ราคาหนังสือนั้นยังต้องหักค่าสายส่ง ค่าส่วนลดอีกด้วยแต่เราไม่คำนวณราคาอย่างนั้น เพราะทุกครั้งที่เราคูณสี่แล้วรู้สึกว่ามันแพง ขนาดเอาค่าแรงออกหมด ใช้สามัญสำนึกของตัวเองตัดสินว่าสำหรับหนังสือขนาดนี้ ถ้าตัวเราจะซื้อ ราคาประมาณเท่าไหร่พอจะซื้อได้โดยไม่รู้สึกแพง สำหรับสำนักพิมพ์ขอเพียงให้อยู่รอด มีชีวิตอยู่ได้ ”

          ” สำนักพิมพ์ผีเสื้อโชคดีที่ไม่ต้องนึกถึงผลกำไร จึงมีเวลาคิดเรื่องผลประโยชน์เพื่อฅนอ่านมาก—แต่ความจริงแล้ว ที่ผ่านมาเราขาดทุน มีตัวเลขติดลบมาตลอด ในปีที่แล้ว (๒๕๓๘) เจอภาวะวิกฤตหนักขั้นโคม่า ทำท่าจะไปไม่รอด ต้องยุบสำนักพิมพ์แน่ เพราะมีหนี้สินทับถมมากมาย ผมต้องขอบคุณ ไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม จะเป็นพระเจ้าหรือสิ่งศัก ดิ์สิทธิ์อื่นใด เพราะหนังสือที่เราทำออกมานั้นสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่า ปาฏิหาริย์จริงและเกิดขึ้นกับตัวผมเอง—มีเพื่อนของเพื่อนฅนหนึ่งเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการเงิน โดยไม่มีข้อแม้หรือผูกมัด ตอนนั้นไม่สามารถเดินไปหาใคร แม้จะมีสินทรัพย์หรือหลักประกันที่จะยืมเงินจำนวนมาก อย่าว่าแต่ยืมโดยไม่มีดอกเบี้ยเลย ดอกเบี้ยต่ำหรือสูงก็ไม่มีใครให้ ในวงการธุรกิจนั้น ถ้าบอกว่าขอกู้เงินมาทำพ็อคเก็ตบุ๊ค ไม่มีใครให้กู้หรอก แต่ที่เพื่อนเขาให้มาก็เป็นเงินจำนวนมากอยู่ เขาให้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย เซ็นเช็คให้ไปปลดหนี้ธนาคาร มาเป็นหนี้เขาแทน—ไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีกำหนดจ่ายคืน มีเงินเมื่อไหร่ก็ส่งคืนได้เรื่อย ๆ—เขาเป็นฅนนอกวงการ ไม่ต้องการเปิดเผยนาม เขาไม่เคยสนใจธุรกิจหนังสือ ไม่เคยคลุกคลีกับวงการหนังสือเลย เมื่อเขาเห็นความตั้งใจของเราก็เสนอตัวมาช่วย เราโชคดีที่ได้ฅนช่วยเหลือ ทั้งยังมีนักอ่านสนับสนุนมากพอควร ทำให้มีเรี่ยวแรงมีกำลังใจมากขึ้น—เพราะฉะนั้นในชีวิตของผมนี้ ไม่ปรารถนาอย่างอื่นอีกแล้ว นอกจากทำหนังสือให้ออกมาดีที่สุด ด้วยความหวังว่า เมื่อพวกเราทุกฅนที่ทำหนังสือตายไปหนังสือก็ยังอยู่คู่ลูกหลานเหลนโหลน ยังสามารถอ่านกันได้ต่อไปอีกนับชั่วอายุฅน ”

          ความคาดหวังถึงอนาคตของเขาก็เช่นเดียวกับผู้ฅนที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงหนังสือที่จะพูดเป็นเสียงเดียวกันคือ

          ” ฅนอ่านอย่าเพิ่งเบื่อหนังสือ ขอให้พยายามเลือกหนังสืออ่านอยากให้อ่านหนังสือกันมาก ๆ เพราะทุกระบบของสังคมบนโลกนี้ มันพัฒนาขึ้นได้เพราะฅนในชาติอ่านหนังสือ หนังสือช่วยกล่อมเกลาจิตใจช่วยทำให้ฅนคิด ช่วยพัฒนาชีวิตได้มาก—คำถามที่ว่าทำไมเด็กสมัยนี้ไม่รักการอ่าน—เพราะหนังสือที่เขาอ่านมันไม่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกลุ่มหลงและรักการอ่าน ผมเชื่อว่า ลองให้เด็กมีโอกาสหยิบหนังสือของสำนักพิมพ์ผีเสื้อขึ้นมาอ่านดู แปดสิบเปอร์เซ็นต์จะต้องอยากอ่านอีก ”

          ตั้งแต่เป็นสำนักพิมพ์ดอกไม้ บานสะพรั่งในสวนหนังสือ แฝงร่างกลายตัวเป็นสำนักพิมพ์กะรัตที่ส่องแสงเจิดจ้า และจากดักแด้แปรเป็นสำนักพิมพ์ผีเสื้อ โดนพายุกระหน่ำจนปีกขาดวิ่นเกือบอับปาง บินไม่ได้ เกือบล้มละลายสิ้นสูญ แต่โชคดีที่มีฅนมาช่วยชีวิต วันนี้ ผีเสื้อตัวเดิมพร้อมโบยบินสู่สวนหนังสืออันกว้างใหญ่ โดยมุ่งทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ฅนอ่านมากที่สุด ทั้งด้านเนื้อหาและรูปเล่ม ขอให้โบยบินทำประโยชน์ผสมเกสรดอกไม้ของปัญญาให้อยู่คู่แผ่นดิน สืบไป

 

เรียบเรียงจากบทความ หน้าบันเทิง
หนังสือพิมพ์มติชน
วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๙