ความฝันอันรื่นรมย์
ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน พิมพ์ครั้งแรกที่สเปนในปี ค.ศ. ๑๖๐๕ นับเป็นเรื่องน่าทึ่งที่นิยายอายุ ๔๐๐ ปีจะมีผู้คนอ่านจวบจนทุกวันนี้ ไม่เพียงเท่านั้น หนังสือเรื่องนี้ยังได้รับคำยกย่องว่าเป็นนิยายดีที่สุดที่โลกนี้เคยมีมา บ้างกล่าวว่า ดอนกิโฆเต้ คือนิยายเรื่องแรกของโลก
เราคงเคยได้ยินถ้อยคำสรรเสริญทำนองนี้มานับไม่ถ้วน ชื่อเสียงเหล่านี้มีส่วนสถาปนา ดอนกิโฆเต้ ไปอยู่บนหิ้ง ยิ่งคำชมมาจากนักปราชญ์เก่งกาจเท่าใด ยิ่งน่าสงสัยว่าจะอ่านรู้เรื่องไหม จะอ่านยากหรือเปล่า จะเป็นหนังสือเฉพาะคนฉลาด ๆ เข้าใจหรือไม่หนอ
เมื่อผนวกกับความหนาด้วยแล้ว ยิ่งส่งเสริมให้ผู้คนมีหนังสือเล่มนี้ไว้ประจำบ้าน ประดับชั้นหนังสือ ตั้งใจว่าจะอ่านสักวันหนึ่ง สักวันที่ว่านั้นมาไม่ถึงสักที
หนึ่งในผู้คนเช่นนั้นคือคนอ่านคนนี้
หากเมื่อเปิด ดอนกิโฆเต้ อ่านเพียงไม่นาน คนอ่านเกิดความอัศจรรย์ใจยิ่ง เป็นไปไฉนหนอ จึงไม่เคยมีใครบอกมาก่อนเลยว่านี่เป็นเรื่องอ่านสนุกเพลิดเพลินถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องตลกฮากลิ้งแสนรื่นเริง ตัวละครมีเสน่ห์ผูกใจ เป็นนิยายที่น่าหลงรัก
ความสนุกและอารมณ์ขันนั้นเริ่มต้นตั้งแต่อารัมภบทของเรื่อง ซึ่งเป็นบทนำแหวกแนวกว่าใคร ๆ ผู้เขียนบรรยายว่ากลุ้มใจไม่รู้จะเขียนบทนำอย่างไร ด้วยไม่มีความหรูอลังการให้อวด เช่นไม่มีบทร้อยกรองหรือบทสรรเสริญเริ่มเรื่องจากผู้มีชื่อเสียง ปราศจากหมายเหตุและบทอ้างอิง ขาดโวหารของนักปราชญ์คนดัง อันจะส่งอานิสงส์ให้ผู้เขียนหนังสือดูฉลาดรอบรู้
มิตรของผู้เขียนช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ โดยบอกว่าเป็นปัญหาเด็ก ๆ อยากชวนไปติดตามว่าเขาแก้ปัญหาอย่างไร เพราะชาญฉลาดแสบสันต์ยิ่ง ล้อเลียนการเขียนหนังสือได้คมคายและตลกมาก
ดอนกิโฆเต้ มีด้วยกัน ๒ ภาค โดยภาค ๒ ตีพิมพ์หลังภาคแรก ๑๐ ปี ฉบับแปลไทยนี้แปลจากภาคแรก
เรื่องเริ่มจากการแนะนำตัวขุนนางต่ำศักดิ์ผู้พำนักในแคว้นลามันช่า เขาอายุ ๕๐ ปีเศษ ผอมแห้ง รักการอ่านนิยายอัศวินเป็นชีวิตจิตใจ อ่านจากเช้ายันค่ำและค่ำยันรุ่ง เฝ้าหมกมุ่นคลั่งไคล้จนถึงแก่เสียสติ
เพียงหน้า ๒ ตัวละครเอกของเราก็บ้าไปเสียแล้ว
ขุนนางเสียจริตผู้นี้ตกลงใจจะเป็นอัศวินพเนจรดังในนิยาย เที่ยวออกเดินทางพร้อมม้าคู่ใจไปสร้างวีรกรรม ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก ปราบความอยุติธรรมทั่วทุกแคว้นแห่งหนโดยไม่หวั่นภยันตรายใด
คิดดังนั้นแล้ว ขุนนางรีบตระเตรียมอาวุธ สร้างหมวกเกราะจากกระดาษแข็ง ใช้เวลาตั้งชื่อม้าหย็องกรอด ๔ วัน ได้นามไพเราะเปี่ยมความหมายว่า โรสินันเต้ หรือ “ม้าที่เคยทุรลักษณ์” ใช้เวลา ๘ วันตั้งชื่อให้ตนเองใหม่ว่า ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า
สิ่งสำคัญขาดไม่ได้อีกประการของอัศวินคือนางในดวงใจ เพื่อเอาไว้พร่ำเพ้อละเมอถึง เขาตั้งสมญาหญิงงามในดวงใจเอาไว้แสนเสนาะว่า ดุลสิเนอา แห่งโตโบโซ่ (มาจาก ดุลเซ่ แปลว่าหวาน)
หนังสือเรื่องนี้คือการผจญภัยของอัศวินผู้นี้
“ท่านผู้อ่านพึงทราบว่า ขุนนางต่ำศักดิ์ผู้ที่กล่าวข้างต้น
ใช้เวลายามว่าง อันหมายถึงเกือบทั้งปี ทุ่มเท
หมกมุ่นอ่านแต่นิยายอัศวินด้วยคลั่งไคล้ใหลหลง”
ดอนกิโฆเต้ มีอัศวินสำรองนาม ซานโช่ ปันซ่า ชาวนาพุงพลุ้ยผู้ยอมติดตามไปด้วย เพราะเชื่อคำสัญญาของดอนกิโฆเต้ที่จะให้เป็นเจ้าปกครองดินแดนมีน้ำล้อมรอบ (อัศวินของเราบอกว่าการได้ครอบครองดินแดนนั้น “ง่ายดายราวปัดฝุ่นออกจากร่าง”)
ซานโช่เป็นตัวละครมีเสน่ห์มาก อ่านแล้วหลงรักเขาเต็มหัวใจ ซานโช่เป็นคนตรงไปตรงมา หนังสือบรรยายว่าเขา “ซื่อเซ่อ” แต่อ่านไปแล้วจะเห็นว่าคารมคมคายเขาไม่เบา ซานโช่ช่างประชดแดกดัน เขาเป็นสีสันสำคัญของเรื่องที่นำอารมณ์ขันมาให้ ยามซานโช่ปรากฏตัว หน้ากระดาษดูจะสดใสขึ้นมา และเมื่อเขาไม่อยู่นาน ๆ คนอ่านจะคิดถึง
บทสนทนาของซานโช่และดอนกิโฆเต้เป็นเสน่ห์สำคัญของหนังสือ ด้วยมีชีวิตชีวามาก บทตอนเหล่านี้บ้างเป็นการคุยกันธรรมดา บ้างเป็นการทักท้วง ถกเถียง แต่อ่านเพลิดเพลินสนุกสนานอย่างยิ่ง ยามตัวละครทั้งสองอยู่ด้วยกัน ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะหายใจ มีเลือดเนื้อ มีชีวิตเคลื่อนไหว มีพลัง
ลองไปฟังวาจาของซานโช่ เมื่อดอนกิโฆเต้ฝากสาส์นรักให้ซานโช่นำไปมอบแก่นางในดวงใจ แล้วให้นำคำตอบกลับมา ซานโช่กล่าวว่า
“ข้ารับรองว่านายหญิงดุลสิเนอาเป็นได้เห็นดีแน่ ถ้านางไม่พูดดั่งที่ควรพูดไซร้ ข้าสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้าหนักแน่นเทียวว่า ฝ่ามือแลแข้งขาจะรีดเค้นคำตอบอันเหมาะสมออกมา ด้วยว่าทำไม่ได้ดอกที่จะปล่อยให้ให้อัศวินพเนจรชื่อก้องเช่นนายท่านกลายเป็นฅนบ้าด้วยไม่มีเหตุอันควร เพียงเพื่อ นัง—นายหญิงดุลสิเนอา อย่าให้ข้าต้องพูดคำนั้นออกมาจะดีกว่า ด้วยคงจะหยาบคายแลทุกสิ่งคงพังพินาศ เรื่องเช่นนี้ข้าเก่งอยู่ไม่น้อย นางยังไม่รู้จักข้าดี ถ้ารู้จักไซร้ เชื่อเถิด นางไม่กล้าหือแน่แท้”
ลองไปฟังวาจาของดอนกิโฆเต้บ้าง เขาฉลาดรอบรู้ พูดจาด้วยภาษานิยายอัศวินอันไพเราะหรูหรายิ่ง ชนิดชาวบ้านฟังแล้วอ้าปากค้างเพราะไม่รู้เรื่อง ดอนกิโฆเต้ยึดถือคุณธรรมสูงส่งนัก ถ้อยความของเขาหลายตอนซาบซึ้งตรึงตราอย่างน่าสะเทือนใจ เช่นเมื่อดอนกิโฆเต้ปลอบซานโช่ที่ทดท้อโกรธแค้นชะตากรรมจนคิดเดินทางกลับบ้าน
“ซานโช่ฅนดี เจ้าจงขึ้นหลังฬาเถิด แลขี่ฬาตามข้ามา ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งย่อมไม่ทรงทอดทิ้งเราดอก ยิ่งจำเพาะเมื่อเราถวายตัวเป็นข้ารับใช้พระองค์ พระองค์ยังมิเคยทอดทิ้งแม้แมลงวันในอากาศ หนอนในพื้นดิน ลูกอ๊อดในธารน้ำ ด้วยทรงเปี่ยมพระเมตตาธิคุณหาที่สุดมิได้ ทรงประทานแสงแดดแก่มนุษย์ทุกผู้ ทั้งดีทั้งเลวเสมอหน้า ทรงบันดาลน้ำฝนชุ่มฉ่ำเย็นแก่ผู้ทรงธรรมแลผู้เลวทรามดุจเดียวกัน”
ฟังแล้วใจอ่อนบ้างหรือไม่ ส่วนซานโช่นั้นบอกว่า “นายท่านเหมาะจะเป็นนักเทศน์ยิ่งกว่าอัศวินพเนจรนัก”
ความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งคู่น่าประทับใจมาก นับเป็นคู่หูนายบ่าวที่น่าจดจำที่สุดในโลกวรรณกรรม ทั้งคู่ต่างเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แม้โกรธเคืองสักกี่ครั้งกี่หนก็กลับมาคืนดีกันเสมอ ในโลกนี้ มีแต่คนคู่นี้เท่านั้นที่เชื่อและเคารพยกย่องอีกฝ่ายอย่างจริงใจ การเดินทางทำให้ทั้งสองผูกพันและเปลี่ยนแปลงตัวตนไปเนื่องจากได้มารู้จักกัน โดยเฉพาะซานโช่ที่เปลี่ยนแปลงไปมาก
เมื่อเริ่มเดินทาง ซานโช่ไม่ชอบการวิวาทและจะไม่มีวันตีรันฟันแทงกับใครเป็นอันขาด ถึงขนาดออกปากไม่ว่าวันนี้หรือวันหน้า เขาจะให้อภัยไม่ว่าใครจะทำอะไร แต่แล้วอุดมคติของดอนกิโฆเต้มีอิทธิพลกับซานโช่ อย่างที่เขาเองอาจไม่รู้ตัว
นิยายเรื่องนี้ล้อเลียนนิยายอัศวินตลอดเรื่อง ตั้งแต่สังขารของดอนกิโฆเต้ ม้าเฉื่อยผอมแห้ง และอัศวินสำรองผู้ไม่อาจเก็บปากไว้นิ่ง ๆ ได้ คณะเดินทางนี้น่าจะแปลกปลอมห่างไกลจากความเป็นอัศวินล้ำเลิศ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับสมบูรณ์พร้อมได้จากอาการเสียจริตของดอนกิโฆเต้ ด้วยความวิปลาสนั้นย่อม “ทรงพลังเหนือเหตุแลผลทั้งปวง”
เซร์บันเตส ผู้เขียนดอนกิโฆเต้ เสียดสีล้อเลียนนิยายอัศวิน ซึ่งเป็นที่นิยมอ่านกันแพร่หลายในศตวรรษ ๑๖ เอาไว้ไม่น้อย เช่นขาดความสมจริง เหล่าอัศวินดูจะไม่เคยกินอาหารหรือหลับนอน ไม่เคยต้องพกเงินหรือใช้เงิน มีความบังเอิญและความเป็นไปไม่ได้จำนวนมาก ถึงแม้เซร์บันเตสจะวิพากษ์วิจารณ์นิยายอัศวินเอาไว้ขำขันเจ็บแสบ แต่เขาบอกอัศจรรย์ของการอ่านหนังสือเหล่านี้ไว้เช่นกัน ว่าเป็นเรื่องบันเทิงเหลือหลายเพียงใด เป็นเรื่องราวเปี่ยมมนต์เสน่ห์ที่พาคนอ่านไปยังโลกแห่งจินตนาการและความฝัน ที่ที่เราเชื่อจริงจังว่าทุกสิ่งนั้นเป็นไปได้
อย่างที่เราเคยเชื่อเมื่อครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
คนรักหนังสือน่าจะประทับใจ ดอนกิโฆเต้ อย่างยิ่ง เริ่มตั้งแต่การบรรยายความบ้าหนังสือของดอนกิโฆเต้ในหน้าแรก ๆ จะมีใครเล่าที่รักการอ่านจนเป็นบ้าได้อย่างเขา ในเล่มยังพูดถึงหนังสือได้น่าอ่านหลายตอน เช่นการตัดสินประชุมเพลิงหนังสือที่มีอารมณ์ขันมืดมนสุดขีด มีบทล้อเลียนเช่นว่า “โรคกวีเป็นโรคติดต่อที่รักษาไม่หาย”
และขออย่าได้พลาดนิทานของซานโช่ ที่เก๋ไก๋และทันสมัยอย่างน่าทึ่ง
ดอนกิโฆเต้ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเซร์บันเตสอายุ ๕๗ ปี ในตอนนั้นเซร์บันเตสมีผลงานเขียน รวมทั้งบทละครและบทกวีบ้างแล้ว นวนิยายเล่มล่าสุดของเขาก่อน ดอนกิโฆเต้ ตีพิมพ์เมื่อ ๒๐ ปีก่อนหน้านั้นโดยพิมพ์เพียง ๒ ครั้ง ดอนกิโฆเต้ สร้างชื่อเสียงให้เซร์บันเตสเป็นครั้งแรก และเป็นหนังสือที่ประสบความสำเร็จมากตั้งแต่เริ่มขาย ภายในปีแรกมีการพิมพ์ซ้ำ ๕-๖ ครั้ง เซร์บันเตสทุ่มเทช่วงสุดท้ายของชีวิตไปกับการเขียน ปรับปรุง และตรวจแก้งาน ดอนกิโฆเต้ ภาคสองออกตามมาก่อนผู้เขียนเสียชีวิตเพียงปีเดียว
บัดนี้ ดอนกิโฆเต้ มีให้อ่านในฉบับภาษาไทยแล้ว
กษัตริย์และพระราชินีแห่งราชอาณาจักรสเปน พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ งานเปิดตัวหนังสือ ดอนกิโฆเต้ ฉบับแปลไทยเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่สยามสมาคม สมเด็จพระราชาธิบดี ฆวน การ์ลอส ที่ ๑ ทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า
“สเปนไม่มีทูตวัฒนธรรมคนใดจะดีไปกว่า มิเกล เด เซร์บันเตส และไม่มีสาส์นแนะนำใดจะยอดเยี่ยมไปกว่า ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ผลงานอมตะของเขา”
ดอนกิโฆเต้ ฉบับแปลไทยมีภาพประกอบงดงามโดย กุสตาฟ ดอเร่ หน้าปกเป็นปกเดียวกับฉบับพิมพ์ครั้งแรกของสเปน
อยากชวนให้อ่านหนังสือเล่มนี้ หากยังไม่มีใครเคยบอกคุณ โปรดรู้ว่า ดอนกิโฆเต้ อ่านสนุก เป็นเรื่องตลกมาก ๆ อ่านแล้วมีความสุขเบิกบานแจ่มใส อุดมคติในเล่มเป็นเรื่องสูงส่งและดีงาม
ฮาโรลด์ บลูม ผู้รู้ด้านวรรณกรรมชาวอเมริกันเขียนไว้ว่า
“มีบางส่วนในตัวเราซึ่งเราจะยังไม่รู้จักดี จนกว่าจะได้ไปรู้จักดอนกิโฆเต้และซานโช่ ปันซ่า
อยากชวนให้ไปพบบางส่วนเสี้ยวของตัวคุณเองในหนังสือเพลินใจเล่มนี้”
เฟย์ คอลัมน์ คนกับหนังสือ นิตยสารสารคดี (เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙)